พลังงานจากแสงอาทิตย์จึงเป็นพลังงานทางเลือกที่สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยผ่านแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบในเรื่องของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีความเข้มรังสีแสงอาทิตย์สูง ปัจจุบันโซลลาร์เซลล์กำลังเป็นที่สนใจและมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงขึ้นในอนาคต เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายต่อเดือน ไปได้สูงสุดถึง 60%(1) อีกทั้งทางกรรมการบริหาร บริษัทติดตั้งโซลาร์ชั้นนำ อย่าง A Solar ยังให้ข้อมูลว่า สามารถขายคืนพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตเกินแก่การไฟฟ้า โดยมีราคารับซื้ออยู่ที่ 2.20 บาทต่อหน่วย

      ซึ่งปัจจุบันนโยบายการขับเคลื่อนด้านพลังงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย รวมทั้งนโยบายสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันการเงินแทบทุกแห่งในประเทศไทย ส่งผลให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มมากขึ้น สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น และมีผู้ให้บริการจำหน่ายและติดตั้งจำนวนมาก ดังนั้นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ไว้ใช้ จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่าที่จะนำมาสยบปัญหาค่าไฟแพง

       ในด้านของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามาตอบโจทย์เทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ช่วยลดโลกร้อน รวมถึงเรื่องของคาร์บอนเทรนด์ต่าง ๆ ทุกองค์กรในโลกต่างให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้ใช้พูดเป็นเสียงเดียวกัน คือประหยัดกว่าการเติมน้ำมันแพง ๆ หลายเท่า และรถยนต์ไฟฟ้ามีแรงบิดและอัตราเร่งที่ดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ทำให้เหมาะกับการขับสัญจรในเมืองมากกว่า(3) ลดมลพิษทางเสียงและทางอากาศ การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ามีเสียงเงียบกว่าเครื่องยนต์ และไม่มีการปล่อยไอเสียที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

เป็นผลให้ยอดจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV ในปี 2566 อยู่ที่ 76,538 คัน เพิ่มขึ้น 695.9% เมื่อเทียบกับ 9,617 คัน ในปี 2565(4) นั่นหมายความว่า ตลาด EV Charger หรือการชาร์จรถไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทางด้าน CEO บริษัท อีโวลต์ เทคโนโลยี จำกัด ได้กล่าวว่า “หากเราหันไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น จะทำให้คนไทยเข้าถึงพลังงานสะอาดได้มากยิ่งขึ้น ประเทศลดการนำเข้าน้ำมันดิบ ช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ไทยได้มหาศาล”(5)